วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ประเภทของบัตรเครดิต





บัตรเครดิต สามารถจำแนกได้หลายประเภท หากจำแนกตามขอบเขตของการใช้บัตร

สามารถจำแนกได้เป็น ประเภท คือ 1.บัตรเครดิตที่สามารถใชได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (International Credit Card) เช่น บัตรเครดิต VISA บัตร Master บัตร Diners Club และบัตรAmerican Express เป็นต้น 2.บัตรเครดิต ที่ใช้ได้เฉพาะภายในประเทศ (Local Credit Card) เช่น บัตรเครดิตธนาคาร กรุงศรีอยุธยา ประเภทสุดท้าย คือ บัตรเครดิตที่ใช้เฉพาะร้านค้า (Store Cardหรือ Private Label) ได้แก่ บัตรเครดิตเซ็นทรัล บัตรเครดิตเพาเวอร์บาย บัตรเครดิตเทสโก้โลตัส เป็นต้น

นอกจากนี้ บัตรเครดิตยังนิยมจำแนก ลักษณะได้อีกบางประเภท ดังนี้ Charge Card ได้แก่ บัตรเครดิตประเภทที่ผู้ถือบัตรจะต้องชำระยอดหนี้สินให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาอันสั้นที่กำหนดไว้ ซึ่งโดยปกติได้แก่ เดือน บัตรเครดิตประเภทนี้มีจุดประสงค์ในการใช้สอยเพื่อชำระค่าบริการการเดินทางและท่องเที่ยวพักผ่อน (Travel and Entertainment Card) เป็นสาคัญ

บัตรประเภทนี้มักไม่ค่อยจำกัดวงเงิน ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า กลุ่มเป้าหมายคือนักบริหารหรือบุคคลผู้มีฐานะทางการเงินดี ที่ต้องเดินทางหรือต้องเลี้ยงรับรองแขกอยู่เป็นประจำ บัตรเครดิตประเภทนี้ ได้แก่ บัตร Diners Club และบัตร American Express Card (AMEX)

Credit Card หรือ Bank Card เป็นบัตรเครดิตที่มักออกโดยสถาบันการเงินออกร่วมกับสถาบันบัตรเครดิตต่างประเทศ (International Credit Card) หรือสถาบันการเงินออกบัตรเครดิตเป็นของตนเอง (Local Credit Card) บัตรเครดิตนี้ นอกจากมีลักษณะการชำระเช่น เดียวกับ Charge Card คือต้องชำระยอด หนี้สินให้เสร็จสิ้นไปภายในระยะเวลาอันสั้นที่กำหนดไว้

ซึ่งโดยปกติ ได้แก่ เดือนโดยไม่เสียดอกเบี้ย ผู้ถือบัตรยังสามารถเลือกชำระเงินคืนแต่เพียงบางส่วนได้ด้วยการใช้สินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) โดยเสียดอกเบี้ยด้วยก็ได้ ในกรณีนี้ยอดค้างชำระของบัตรเครดิตจะแปลงสภาพเป็นเงินกู้ที่ต้องผ่อนชำระเป็นรายงวด อันเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้ออกบัตรอีกทางหนึ่ง

และอีกด้านหนึ่งเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการชำระหนี้ของผู้ถือบัตรโดยบัตรเครดิตประเภทนี้มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายในการชำระค่าสินค้าและบริการสําหรับการดำรง ชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ มักมีการจำกัดวงเงินให้สินเชื่อ (Credit Line) ไว้ในระดับหนึ่ง บัตรเครดิตชนิดนี้ ได้แก่ บัตร VISA บัตร Master Card บัตรเครดิต ธนาคารต่าง ๆ เป็นต้น

นอกจากนั้น บัตรเครดิตประเภท Bank Card นี้ ยังสามารถออกร่วมกับบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งนิยมเรียกว่า Affinity Card หรือ Co-Brand Card โดย ผู้ถือบัตรลักษณะนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ หรือส่วนลดจากบริษัทห้างร้านที่ออกบัตรเพิ่มเติมตามที่กำหนดด้วย เช่น บัตรเครดิตที่ธนาคารออกร่วมกับห้างสรรพสินค้าซึ่งนอกจากลูกค้าจะได้รับเครดิตแล้วยังใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าบางประการตามที่ห้างสรรพสินค้ากำหนดได้อีกด้วย

Store Card หรือ Private Label หมายถึง บัตรเครดิตที่ร้านค้าซึ่งโดยมากจะเป็นร้านสรรพสินค้าใหญ่ๆ เป็นผู้ออกให้ แก่ลูกค้าโดยตรง เพื่อใช้ซื้อสินค้าและบริการในเครือข่ายหรือในสถานประกอบการ ของตนซึ่งมีลักษณะคล้ายบัตรเครดิตยุคแรกเริ่มนั่นเอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่ง เสริมการขายของร้านค้าหรือของห้างนั้นๆ

Cash Card หมายถึง บัตรเครดิตที่เมื่อผู้ถือบัตรนำไปแสดงต่อธนาคารที่เกี่ยวข้องแล้วสามารถเบิกเงินสดล่วงหน้า ได้จากธนาคารผู้ออกบัตรหรือเบิกเงินสดล่วงหน้าได้โดยเบิกเงินจากเครื่อง ATM ที่เข้าร่วมให้บริการ ซึ่งผู้ใช้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

Debit Card จัดเป็นบัตรที่ไม่มี สินเชื่อ ใช้เบิกเงินสดหรือใช้ชำระค่าสินค้าและบริการโดยร้านค้าจะเรียกเก็บด้วยบริการ แม้บัตรเดบิตจะมีลักษณะที่ไม่ หักบัญชีของผู้ถือบัตรโดยตรงจากธนาคาร หรือหักผ่านระบบเครือข่ายของสถาบันบัตรเครดิตเหมือนกับบัตรเครดิต ประเภทข้างต้น

แต่ในปัจจุบันตามประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาสำนักงานคุ้ม ครองผู้บริโภค ซึ่งประกาศให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา กำหนดให้บัตรเครดิตหมายความรวมถึงบัตรเดบิตด้วย ความหมายของบัตรเดบิต บัตรเครดิตอาจมีลักษณะหนึ่งลักษณะใดหรือหลายลักษณะร่วมกันตามที่ได้อธิบายข้างต้นไว้ก็ได้

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ให้ความหมายของบัตรเครดิตไว้ คือ บัตรที่ผู้ประกอบธุรกิจออกให้แก่ผู้บริโภคตามหลักเกณฑ์ค่าบริการหรือค่าอื่นใด และวิธี การที่ผู้ประกอบธุรกิจกำหนดเพื่อใช้ชำระ ค่าสินค้า แทนการชำระด้วยเงินสดหรือเพื่อใช้เบิกถอนเงินสด แต่ไม่รวมถึงบัตรที่ ได้มีการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือค่าอื่นใดไว้ล่วงหน้าแล้ว




ที่มา สยามธุรกิจ

ความรู้เรื่องบัตรเครดิต

               บัตรเครดิต ไม่ว่าจะแบบไหน มีแนวคิดแบบเดียวกันคือเป็น “บัตรเงินกู้” เป็นบัตรที่บอกว่าผู้ถือมีเครดิตสามารถที่จะกู้เงินจากผู้ออกบัตรมาใช้ก่อนได้แล้วค่อยชำระทีหลัง แต่ถ้าชำระช้ากว่าที่กำหนด หรือชำระเป็นจำนวนเงินไม่ครบถ้วน ต้องค่อยๆ ผ่อนชำระ ก็จะมีดอกเบี้ยทบเข้าไปทำให้ต้องชำระเงินเพิ่มขึ้น
ฉะนั้น บัตรเครดิต มีประโยชน์หลายประการสำหรับคนที่ใช้เป็น ช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อสินค้าต่างๆ โดยไม่ต้องพกเงินสดทีละมากๆ และจะเป็นประโยชน์มากเวลาเดินทางไปต่างประเทศเพราะไม่ต้องวุ่นวายคอยแลกเงิน ทั้งสลิปบัตรเครดิตยังเป็นบัญชีค่าใช้จ่ายประจำเดือนได้อย่างดี และของรางวัลจูงใจก็น่าสนใจ 


                แต่มีคุณมากก็มีโทษได้มากถ้าใช้ไม่เป็น บัตรเครดิตเป็นบัตรที่มีดอกเบี้ยเงินกู้สูงมาก ถ้าเราผ่อนชำระช้าหรือไม่เต็มจำนวน ถ้าใช้บัตรเครดิตเกินกำลังตนเองก็จะเกิดภาระหนี้สินตามมามากมาย และความสะดวกสบายก็ทำให้คนที่ถือบัตรใช้เงินเพลินมือได้ไม่ยาก
ส่วนที่เห็นว่ามีบัตรหลายแบบ แต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกันไปเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ได้เหมาะตามวัตถุประสงค์ของตน

                 บัตรบางใบทำตลาดร่วมกับบริษัทน้ำมัน ศูนย์การค้า สายการบิน กลายเป็นว่าใช้บัตรแล้วได้รับส่วนลด แต่เงินสดต้องจ่ายเต็มราคาเหมือนเดิม หรือบางบริษัทจูงใจผู้ใช้บัตรด้วยการให้สะสมแต้มแลกของรางวัล ดังนั้นเมื่อวางแผนการใช้บัตรดีๆ บางครั้งทำให้เราไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของบางอย่างเลยก็ได้


ที่มา www.easycashservice.com

การทำงานของบัตรเครดิต

ผู้ใช้สามารถนำบัตรมาซื้อ สินค้าและบริการได้ตามวงเงินที่ธนาคารอนุมัติ หลังจากผู้รับบริการได้บัตรเครดิตแล้ว ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจะต้องเช็คยอดที่จ่ายกับทางธนาคารก่อนและจะได้รับรหัสอนุมัติจากธนาคาร ในสมัยก่อนจะเป็นเครื่องรูดบัตร ร้านค้าต้องโทรศัพท์ไปที่ธนาคาร แต่ปัจจุบันนี้มีเครื่องรูดบัตรที่จะออนไลน์กับธนาคารเพื่อให้ได้รหัสอนุมัติได้ในทันที จากผู้ขายหรือผู้ให้บริการก็จะนำสลิปไปให้เจ้าของบัตรเซ็นชื่อ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของบัตรจริงหรือไม่ โดยเทียบกับลายเซนต์ที่เซนต์ไว้ด้านหลังของบัตรเครดิต และเก็บสำเนาไว้เพื่อส่งให้ธนาคารตรวจสอบได้ในภายหลัง ปัจจุบันบัตรเครดิตนอกจากจะเป็นที่นิยมในการซื้อสินค้าตามราคาทั่วไปแล้ว ยังนิยมมาใช้ในการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
เมื่อมีการซื้อขายสินค้าผ่านบัตรเครดิต ผู้ใช้บัตรเครดิตจะต้องแสดงความสมยอมว่าการซื้อขายนั้นได้เกิดขึ้นจริง ด้วยการเซ็นต์ชื่อในใบเสร็จ หากเป็นการซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้อาจจะกรอกราย PIN Number และหมายเลขบัตรเครดิต เพื่อเป็นการแสดงความจำนงในการซื้อขาย
ขณะนี้ได้มีบัตรเครดิตแบบใหม่ ที่จะใช้ทาบกับเครื่องอ่าน โดยอาศัยหลักการของคลื่นวิทยุ จึงไม่ต้องมีการนำแถบแม่เหล็กไปสัมผัสกับเครื่องอย่างระบบเก่า ทำให้เพิ่มความรวดเร็วในการทำรายการ และเหมาะกับการชำระเงินจำนวนน้อยๆ

ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/บัตรเครดิต

ประวัติ




บัตรเครดิตถือกำเนิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1914 โดยบริษัทเยอเนอรัลปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น ออฟแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท โมบิลออยส์ จำกัด โดยทำบัตรดังกล่าวให้กับลูกค้า และพนักงานของตน ที่ได้รับเลือกสรรแล้ว และนำไปชำระค่าน้ำมัน ตอนนั้นบัตรเครดิตนี้จะมีลักษณะเหมือนกับเหรียญโลหะ ต่อมาราวค.ศ. 1950 นายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) ซึ่งเป็นนักธุรกิจเกิดลืมพกกระเป๋าเงินติดตัวไปทานอาหาร และไม่มีเงินจ่าย ต้องให้ภรรยานำเงินมาชำระให้ จึงคิดว่าถ้ามีบัตรพิเศษที่ใช้แทนเงินได้ ก็จะดี จากนั้นก็ปรึกษากับนายราล์ฟ ชไนเดอร์ (Ralph Schncider) ซึ่งเป็นทนายความ และได้สร้างบัตร ไดเนอร์สคลับ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าและบริการแทนการชำระเงินโดยตรง ภายหลังได้มีบริษัท อเมริกันเอกซ์เพรส ได้ออกบัตรเครดิต โดยมีวัตถุประสงค์ในครั้งแรกเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก โดยได้นำเสนอบัตรที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารต่างๆ




ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/บัตรเครดิต

บัตรเครดิต คืออะไร?

บัตรเครดิต หรือ บัตรสินเชื่อ เป็นบริการที่สถาบันทางการเงินต่างๆ ออกให้แก่ลูกค้า เพื่อใช้จ่ายแทนเงินสด บัตรเครดิตที่รู้จักกันเช่น วีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี อเมริกันเอกซ์เพรส ดิสคัฟเวอร์ และ ไดเนอร์สคลับ สามารถใช้ได้ตามจำนวนวงเงินบัตรที่อนุมัติหักออกด้วยค่าสินค้าและบริการที่ใช้จ่ายผ่านบัตร ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และหนี้สินคงค้างที่ยังไม่ได้ชำระ


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/บัตรเครดิต